ประวัติศาสตร์การกำเนิดไฟฟ้าและนักวิทยาศาสตร์ผู้บุกเบิก
จากประกายไฟสถิตสู่ยุคพลังงาน
ประวัติศาสตร์การกำเนิดไฟฟ้าและนักวิทยาศาสตร์ผู้บุกเบิก
ไฟฟ้า พลังงานที่ขับเคลื่อนโลกยุคปัจจุบัน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าที่เราคิด เริ่มต้นจากการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ สู่การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตมนุษย์อย่างสิ้นเชิง บทความนี้จะพาท่านย้อนรอยการเดินทางของไฟฟ้า ตั้งแต่การค้นพบพลังงานไฟฟ้าสถิตในยุคโบราณ ก่อนที่วิลเลียม กิลเบิร์ต จะวางรากฐานสำคัญ จนถึงนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญที่สานต่อการค้นพบและสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้ามาจนถึงปัจจุบัน
ยุคโบราณ: การค้นพบไฟฟ้าสถิตอันน่าพิศวง
ประวัติศาสตร์ของไฟฟ้าเริ่มต้นขึ้นก่อนคริสตกาลนานหลายศตวรรษ ชาวกรีกโบราณคือผู้ที่บันทึกการค้นพบปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิตเป็นกลุ่มแรกๆ ราว 600 ปีก่อนคริสตกาล ธาเลสแห่งมิเลทัส (Thales of Miletus) นักปราชญ์ชาวกรีก ได้สังเกตเห็นว่า แท่งอำพัน (amber) เมื่อนำมาถูกับผ้าขนสัตว์ จะสามารถดึงดูดวัตถุเบาๆ ได้
แท่งอำพันคืออะไร? อำพัน คือ ยางไม้สนโบราณที่แข็งตัวและกลายเป็นฟอสซิลตามกาลเวลา มีลักษณะโปร่งแสงหรือโปร่งใส มักมีสีเหลืองทองหรือสีส้ม บางครั้งอาจพบซากพืชหรือแมลงขนาดเล็กฝังอยู่ภายใน อำพันจึงไม่ใช่เป็นเพียงก้อนหินธรรมดา แต่เป็นวัสดุอินทรีย์ที่ผ่านกระบวนการทางธรรมชาติมานับล้านปี และด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวนี้เองที่ทำให้มันแสดงปรากฏการณ์ทางไฟฟ้าสถิตได้เมื่อถูกขัดถู
การสังเกตของธาเลสพบว่าอำพันที่ผ่านการขัดถูสามารถดึงดูดวัตถุที่มีน้ำหนักเบามาก เช่น ขนนก หรือ เส้นผม คำว่า "ไฟฟ้า" (electricity) ในภาษาอังกฤษนั้นมีรากศัพท์มาจากคำว่า "elektron" (ἤλεκτρον) ในภาษากรีก ซึ่งหมายถึงอำพันนั่นเอง
แม้ว่าชาวกรีกโบราณจะยังไม่เข้าใจถึงกลไกที่แท้จริงของปรากฏการณ์นี้ แต่การสังเกตของพวกเขาก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการศึกษาเรื่องไฟฟ้า ยังมีหลักฐานอื่นๆ ที่บ่งชี้ว่าอารยธรรมโบราณอื่นๆ เช่น ชาวอียิปต์และชาวโรมัน ก็อาจเคยพบเห็นปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิตเช่นกัน แต่ยังไม่มีการศึกษาอย่างเป็นระบบ
ก่อนยุควิลเลียม กิลเบิร์ต: ความรู้ที่ยังกระจัดกระจาย
หลังจากการค้นพบของชาวกรีก ความรู้เกี่ยวกับไฟฟ้าสถิตก็หยุดนิ่งไปเป็นเวลานาน มีการบันทึกถึงปรากฏการณ์แปลกๆ ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าบ้างประปราย แต่ยังไม่มีใครทำการศึกษาอย่างจริงจังหรือพยายามอธิบายหลักการทำงานของมัน จนกระทั่งถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ที่เริ่มมีการฟื้นฟูความสนใจในวิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ
ในช่วงเวลานี้ มีนักคิดและนักทดลองบางคนที่เริ่มให้ความสนใจกับอำนาจลึกลับของอำพัน แต่ความเข้าใจยังคงจำกัดอยู่เพียงแค่การสังเกตปรากฏการณ์ดึงดูดวัตถุเบาๆ เท่านั้น ยังไม่มีทฤษฎีหรือหลักการใดๆ ที่จะอธิบายได้ว่าพลังงานนี้คืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร
วิลเลียม กิลเบิร์ต: บิดาแห่งการศึกษาไฟฟ้าและแม่เหล็ก
จนกระทั่งศตวรรษที่ 16 วิลเลียม กิลเบิร์ต (William Gilbert) แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ (ค.ศ. 1544 – 1603) ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการศึกษาเรื่องไฟฟ้าและแม่เหล็กอย่างเป็นระบบ เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งการศึกษาไฟฟ้าและแม่เหล็ก"
กิลเบิร์ตได้ทำการทดลองอย่างละเอียดและเป็นระบบเกี่ยวกับไฟฟ้าสถิต เขาค้นพบว่าไม่เพียงแต่อำพันเท่านั้นที่สามารถแสดงคุณสมบัติทางไฟฟ้าได้เมื่อถูกขัดถู แต่ยังมีวัตถุอื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น แก้ว กำมะถัน และยางสน ที่มีคุณสมบัติเช่นเดียวกัน เขาเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า "electricus" (มาจากคำว่า elektron ในภาษากรีก) เพื่ออธิบายแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นจากการขัดถูวัตถุเหล่านี้ ซึ่งต่อมากลายเป็นรากศัพท์ของคำว่า "electricity"
ผลงานชิ้นสำคัญของกิลเบิร์ตคือหนังสือชื่อ "De Magnete, Magneticisque Corporibus, et de Magno Magnete Tellure" (ว่าด้วยแม่เหล็ก วัตถุแม่เหล็ก และแม่เหล็กโลกอันยิ่งใหญ่) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1600 ในหนังสือเล่มนี้ เขาได้รวบรวมผลการทดลองและการค้นพบของเขาเกี่ยวกับแม่เหล็กและไฟฟ้าสถิต กิลเบิร์ตเป็นคนแรกที่แยกความแตกต่างระหว่างอำนาจแม่เหล็ก (magnetism) กับอำนาจไฟฟ้าสถิต (static electricity) อย่างชัดเจน และยังเสนอแนวคิดว่าโลกของเรานั้นมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ปฏิวัติวงการในยุคนั้น
การเดินทางหลังยุคกิลเบิร์ต: นักวิทยาศาสตร์ผู้บุกเบิกไฟฟ้า
การวางรากฐานของกิลเบิร์ตได้จุดประกายให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังหันมาสนใจศึกษาเรื่องไฟฟ้าอย่างจริงจัง นำไปสู่การค้นพบและสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญมากมาย ดังนี้:
-
ออตโต ฟอน เกริเกอ (Otto von Guericke) (ค.ศ. 1602 – 1686): นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้ประดิษฐ์เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิตเครื่องแรกในปี ค.ศ. 1660 โดยใช้ลูกโลกกำมะถันที่หมุนได้ เมื่อใช้มือถูกับลูกโลกกำมะถัน จะเกิดประจุไฟฟ้าสถิตขึ้น ทำให้สามารถสาธิตปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
-
สตีเฟน เกรย์ (Stephen Gray) (ค.ศ. 1666 – 1736): นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ค้นพบความแตกต่างระหว่างตัวนำไฟฟ้า (conductor) และฉนวนไฟฟ้า (insulator) ในราวปี ค.ศ. 1729 เขาแสดงให้เห็นว่าไฟฟ้าสามารถ "เดินทาง" ผ่านวัตถุบางชนิดได้
-
ชาร์ลส์ ฟรองซัวส์ ดูเฟย์ (Charles François du Fay) (ค.ศ. 1698 – 1739): นักเคมีชาวฝรั่งเศส ผู้ค้นพบว่าไฟฟ้ามีอยู่สองชนิด คือ "vitreous" (ไฟฟ้าที่เกิดจากการขัดถูแก้ว) และ "resinous" (ไฟฟ้าที่เกิดจากการขัดถูยางสน) ซึ่งต่อมาเบนจามิน แฟรงคลิน ได้เรียกว่าประจุบวกและประจุลบตามลำดับ
-
ปีเตอร์ ฟาน มุสเชนเบิร์ก (Pieter van Musschenbroek) (ค.ศ. 1692 – 1761): นักฟิสิกส์ชาวดัตช์ ผู้ประดิษฐ์ "ขวดเลเดน" (Leyden jar) ในปี ค.ศ. 1745 ซึ่งเป็นอุปกรณ์เก็บประจุไฟฟ้าแบบแรกๆ เปรียบเสมือนตัวเก็บประจุ (capacitor) ในยุคปัจจุบัน ทำให้สามารถเก็บสะสมไฟฟ้าสถิตไว้ได้ในปริมาณมาก และนำไปสู่การทดลองที่น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น
-
เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin) (ค.ศ. 1706 – 1790): นักวิทยาศาสตร์ รัฐบุรุษ และนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาเรื่องไฟฟ้า เขาเสนอทฤษฎี "ของไหลเดี่ยว" (one-fluid theory) ของไฟฟ้า โดยระบุว่าไฟฟ้าประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กที่สามารถไหลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ และเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า "ประจุบวก" (positive charge) และ "ประจุลบ" (negative charge) ที่เราใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน แฟรงคลินยังโด่งดังจากการทดลองว่าวในช่วงพายุฝนฟ้าคะนองในปี ค.ศ. 1752 ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าฟ้าผ่าคือปรากฏการณ์ทางไฟฟ้า และนำไปสู่การประดิษฐ์สายล่อฟ้า (lightning rod) เพื่อป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า
-
ชาร์ลส์-ออกัสติน เดอ คูลอมบ์ (Charles-Augustin de Coulomb) (ค.ศ. 1736 – 1806): นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศส ผู้คิดค้นกฎของคูลอมบ์ (Coulomb's Law) ในปี ค.ศ. 1785 ซึ่งอธิบายแรงกระทำระหว่างประจุไฟฟ้าสองประจุ ว่ามีขนาดแปรผันตามผลคูณของขนาดประจุทั้งสอง และแปรผกผันกับกำลังสองของระยะห่างระหว่างประจุ กฎนี้เป็นรากฐานสำคัญของทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า
-
ลุยจิ กัลวานี (Luigi Galvani) (ค.ศ. 1737 – 1798): แพทย์และนักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ผู้ค้นพบ "ไฟฟ้าจากสัตว์" (animal electricity) โดยบังเอิญในปี ค.ศ. 1780 เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าขากบที่ตายแล้วจะกระตุกเมื่อสัมผัสกับโลหะสองชนิดที่แตกต่างกัน แม้ว่าภายหลังจะพบว่าไฟฟ้าไม่ได้มาจากตัวกบโดยตรง แต่การค้นพบของเขากระตุ้นให้เกิดการศึกษาเกี่ยวกับไฟฟ้าที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมี
-
อเลสซานโดร โวลตา (Alessandro Volta) (ค.ศ. 1745 – 1827): นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ผู้ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีไฟฟ้าจากสัตว์ของกัลวานี และเชื่อว่าไฟฟ้าเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างโลหะต่างชนิดกัน เขาได้ประดิษฐ์ "หม้อไฟฟ้าโวลตา" (Voltaic pile) ในปี ค.ศ. 1800 ซึ่งถือเป็นแบตเตอรี่ไฟฟ้าเคมีแบบแรกของโลกที่สามารถให้กระแสไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งประดิษฐ์นี้เป็นการเปิดศักราชใหม่ของการศึกษาและการใช้ประโยชน์จากไฟฟ้ากระแสตรง
-
ฮันส์ คริสเตียน เออร์สเตด (Hans Christian Ørsted) (ค.ศ. 1777 – 1851): นักฟิสิกส์และนักเคมีชาวเดนมาร์ก ผู้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้ากับแม่เหล็กโดยบังเอิญในปี ค.ศ. 1820 เมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเข็มทิศจะเบนไปเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเส้นลวดที่อยู่ใกล้ๆ การค้นพบนี้เป็นการเปิดประตูสู่ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า
-
อองเดร-มารี แอมแปร์ (André-Marie Ampère) (ค.ศ. 1775 – 1836): นักฟิสิกส์และนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ผู้ศึกษาต่อยอดจากการค้นพบของเออร์สเตด และได้พัฒนาทฤษฎีทางคณิตศาสตร์เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างไฟฟ้าและแม่เหล็ก เขาเป็นผู้บัญญัติกฎของแอมแปร์ (Ampère's Law) และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า หน่วยวัดกระแสไฟฟ้า "แอมแปร์" (Ampere) ก็ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
-
ไมเคิล ฟาราเดย์ (Michael Faraday) (ค.ศ. 1791 – 1867): นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าและการประยุกต์ใช้ไฟฟ้า เขาค้นพบหลักการ "การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า" (electromagnetic induction) ในปี ค.ศ. 1831 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงสามารถทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในวงจรได้ หลักการนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการทำงานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (generator) และหม้อแปลงไฟฟ้า (transformer) ฟาราเดย์ยังได้พัฒนากฎของฟาราเดย์เกี่ยวกับการอิเล็กโทรลิซิส และเสนอแนวคิดเรื่องเส้นแรงแม่เหล็กและเส้นแรงไฟฟ้า หน่วยวัดค่าความจุไฟฟ้า "ฟารัด" (Farad) ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
-
จอร์จ โอห์ม (Georg Ohm) (ค.ศ. 1789 – 1854): นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ผู้ค้นพบกฎของโอห์ม (Ohm's Law) ในปี ค.ศ. 1827 ซึ่งอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันไฟฟ้า (V), กระแสไฟฟ้า (I), และความต้านทานไฟฟ้า (R) ในวงจรไฟฟ้า () กฎนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า หน่วยวัดความต้านทานไฟฟ้า "โอห์ม" (Ohm) ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
-
เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ (James Clerk Maxwell) (ค.ศ. 1831 – 1879): นักฟิสิกส์ชาวสกอต ผู้รวบรวมและพัฒนาทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าให้สมบูรณ์ เขาได้เสนอชุดสมการทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า "สมการของแมกซ์เวลล์" (Maxwell's Equations) ซึ่งอธิบายพฤติกรรมของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก และทำนายการมีอยู่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เดินทางด้วยความเร็วแสง ทฤษฎีของแมกซ์เวลล์เป็นการรวมแสง ไฟฟ้า และแม่เหล็กเข้าด้วยกัน และเป็นรากฐานสำคัญของฟิสิกส์ยุคใหม่
-
ไฮน์ริช เฮิรตซ์ (Heinrich Hertz) (ค.ศ. 1857 – 1894): นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ผู้พิสูจน์การมีอยู่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตามทฤษฎีของแมกซ์เวลล์ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1887 เขาได้สร้างเครื่องส่งและเครื่องรับคลื่นวิทยุ และแสดงให้เห็นว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีคุณสมบัติเช่นเดียวกับคลื่นแสง การค้นพบของเฮิรตซ์เป็นการเปิดทางไปสู่การพัฒนาระบบสื่อสารไร้สาย หน่วยวัดความถี่ "เฮิรตซ์" (Hertz) ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
-
นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) (ค.ศ. 1856 – 1943): นักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ และวิศวกรไฟฟ้า ชาวเซอร์เบีย-อเมริกัน ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current - AC) ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เขาได้ประดิษฐ์มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ หม้อแปลงไฟฟ้า และระบบส่งกำลังไฟฟ้ากระแสสลับที่มีประสิทธิภาพ เทสลายังมีผลงานสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น ขดลวดเทสลา (Tesla coil) และการทดลองเกี่ยวกับการส่งพลังงานไร้สาย
-
โธมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) (ค.ศ. 1847 – 1931): นักประดิษฐ์และนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้มีบทบาทสำคัญในการนำไฟฟ้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน เขาได้ประดิษฐ์หลอดไส้ไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริงและมีอายุการใช้งานยาวนาน และพัฒนาระบบจำหน่ายไฟฟ้ากระแสตรง (Direct Current - DC) แม้ว่าในที่สุดระบบไฟฟ้ากระแสสลับของเทสลาจะได้รับความนิยมมากกว่าในระบบส่งกำลังระยะไกล แต่เอดิสันก็มีส่วนสำคัญในการทำให้ไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้สำหรับสาธารณชน
สู่ยุคปัจจุบันและอนาคตของพลังงานไฟฟ้า
การค้นพบและสิ่งประดิษฐ์ของนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีไฟฟ้าที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ตั้งแต่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดใหญ่ในโรงไฟฟ้าพลังงานต่างๆ (พลังงานความร้อน พลังงานน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานหมุนเวียน) ไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่เราพกพาติดตัว
ในปัจจุบัน การวิจัยและพัฒนายังคงดำเนินต่อไป โดยมุ่งเน้นไปที่การผลิตไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และการพัฒนาเทคโนโลยีการเก็บกักพลังงานที่ก้าวหน้า รวมถึงการศึกษาวัสดุตัวนำยิ่งยวด (superconductor) และแนวคิดใหม่ๆ อย่างโรงไฟฟ้าฟิวชัน (fusion power) ซึ่งอาจเป็นคำตอบของความต้องการพลังงานในอนาคต
ประวัติศาสตร์ของการกำเนิดไฟฟ้าเป็นการเดินทางอันยาวนานและน่าทึ่ง จากประกายไฟสถิตที่สร้างความพิศวงในยุคโบราณ สู่การทำความเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ และการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลก พลังงานไฟฟ้าได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของเรา และจะยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญสำหรับอนาคตของมนุษยชาติต่อไป.