← กลับหน้าบทความ

ยุคบุกเบิก: ประกายไฟในหลอดแก้ว และการค้นพบรังสีลึกลับ

ยุคบุกเบิก: ประกายไฟในหลอดแก้ว และการค้นพบรังสีลึกลับ (กลางถึงปลายศตวรรษที่ 19)

เรื่องราวของหลอดอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้เริ่มต้นที่การสร้างอุปกรณ์ที่ใช้งานได้ทันที แต่เกิดจากการสั่งสมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของไฟฟ้าในสภาวะต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน "หลอดปล่อยประจุแก๊ส" (Gas Discharge Tubes)

การทดลองเหล่านี้ แม้จะยังไม่ได้นำไปสู่ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" ที่ใช้งานได้จริงในทันที แต่มันได้สร้างฐานความรู้ที่สำคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมของไฟฟ้าและอนุภาคมีประจุในสภาวะสุญญากาศ และที่สำคัญคือ มันนำไปสู่การค้นพบ อิเล็กตรอน โดย เจ.เจ. ทอมสัน (J.J. Thomson) ในปี ค.ศ. 1897 ซึ่งได้พิสูจน์ว่ารังสีแคโทดนั้นแท้จริงแล้วคือลำของอนุภาคที่มีประจุลบนั่นเอง

ปรากฏการณ์เอดิสัน: ข้อสังเกตที่รอวันถูกใช้งาน (ค.ศ. 1883)

ในช่วงเวลาที่การศึกษาเรื่องรังสีแคโทดกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นนั้น โธมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) ขณะกำลังง่วนอยู่กับการพัฒนาหลอดไส้ไฟฟ้าให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ได้สังเกตเห็นปรากฏการณ์ประหลาดในปี ค.ศ. 1883 เขาพบว่ามีกระแสไฟฟ้าขนาดเล็กสามารถไหลผ่านสุญญากาศจากไส้หลอดที่ร้อนแดงไปยังแผ่นโลหะอีกแผ่นที่เขาใส่เพิ่มเข้าไปในหลอดได้ แม้ว่าไส้หลอดกับแผ่นโลหะจะไม่ได้สัมผัสกันโดยตรง ปรากฏการณ์นี้ถูกเรียกว่า "ปรากฏการณ์เอดิสัน" (Edison Effect) เอดิสันได้จดสิทธิบัตรการค้นพบนี้ แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้มองเห็นศักยภาพในการนำมันมาประยุกต์ใช้งานในเชิงอิเล็กทรอนิกส์อย่างจริงจัง และมันก็ถูกทิ้งไว้ให้เป็นเพียงความสงสัยใคร่รู้ทางวิทยาศาสตร์อยู่พักหนึ่ง

กำเนิด "วาล์วเฟลมมิง": หลอดอิเล็กทรอนิกส์ชิ้นแรก (ค.ศ. 1904)

ดังที่เราได้คุยกันไปแล้ว ศาสตราจารย์ จอห์น แอมโบรส เฟลมมิง (Professor John Ambrose Fleming) ที่ปรึกษาของบริษัทมาร์โคนี ได้นำความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์เอดิสันและหลักการปล่อยอิเล็กตรอนจากไส้หลอดที่ร้อน (thermionic emission) มาประยุกต์ใช้ ในปี ค.ศ. 1904 เขาได้ประดิษฐ์ "วาล์วออสซิลเลชัน" (Oscillation Valve) หรือที่รู้จักกันในชื่อ หลอดไดโอด (Diode) ซึ่งมีเพียงสองขั้วคือแคโทดและแอโนด มันสามารถทำหน้าที่เป็น ตัวเรียงกระแส (rectifier) คือเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจจับคลื่นวิทยุในยุคนั้น และถือเป็น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบแอคทีฟชิ้นแรกๆ ของโลก ที่สามารถควบคุมการไหลของอิเล็กตรอนได้อย่างตั้งใจเพื่อการใช้งานเฉพาะทาง

การปฏิวัติของ "หลอดไตรโอด": ยุคแห่งการขยายสัญญาณ (ค.ศ. 1906-1907)

ก้าวสำคัญที่พลิกโฉมวงการอิเล็กทรอนิกส์อย่างแท้จริงเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ปีหลังจากนั้น ลี เดอ ฟอเรสต์ (Lee De Forest) นักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ได้ทดลองดัดแปลงหลอดไดโอดของเฟลมมิง ในราวปี ค.ศ. 1906-1907 เขาได้เพิ่มขั้วไฟฟ้าที่สามเข้าไปในหลอด ซึ่งมีลักษณะเป็นตะแกรงลวดเส้นเล็กๆ คั่นอยู่ระหว่างแคโทดและแอโนด เขาเรียกขั้วไฟฟ้าที่สามนี้ว่า "กริด" (Grid) และเรียกสิ่งประดิษฐ์ของเขาว่า "ออดิออน" (Audion) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ หลอดไตรโอด (Triode)

ความมหัศจรรย์ของหลอดไตรโอดอยู่ที่กริดนี้เอง การเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าเพียงเล็กน้อยที่กริด สามารถควบคุมการไหลของอิเล็กตรอนจำนวนมหาศาลจากแคโทดไปยังแอโนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นหมายความว่า หลอดไตรโอดไม่เพียงแต่จะควบคุมทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าได้เหมือนไดโอด แต่ยังสามารถ ขยายสัญญาณไฟฟ้า (amplify) ที่อ่อนๆ ให้มีความแรงมากขึ้นได้อย่างมหาศาล! นี่คือการค้นพบที่เปลี่ยนโลก มันทำให้สัญญาณวิทยุที่แผ่วเบาสามารถถูกขยายจนได้ยินอย่างชัดเจน เป็นหัวใจสำคัญของเครื่องรับวิทยุ, เครื่องส่งวิทยุ, ระบบโทรศัพท์ทางไกล, และเป็นรากฐานของเทคโนโลยีการขยายเสียงทั้งหมด

การพัฒนาที่ไม่หยุดยั้ง: สู่หลอดที่ซับซ้อนและหลากหลายยิ่งขึ้น

หลังจากความสำเร็จของหลอดไตรโอด การพัฒนาหลอดอิเล็กทรอนิกส์ก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว:

ยุคของหลอดอิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นยุคแห่งนวัตกรรมที่น่าทึ่ง เป็นการเดินทางยาวนานหลายทศวรรษที่นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรได้เรียนรู้ที่จะควบคุมพฤติกรรมของอิเล็กตรอนในสุญญากาศอย่างแม่นยำ สร้างสรรค์อุปกรณ์ที่กลายเป็นรากฐานสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ในแทบทุกด้าน ก่อนที่การปฏิวัติอิเล็กทรอนิกส์อีกครั้งจะมาถึงพร้อมกับการถือกำเนิดของทรานซิสเตอร์และวงจรรวมในเวลาต่อมา.